❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈
บทเกริ่นนำ
ส่วนในช่วงก่อนที่จะมีการสถาปนาเมืองท่าทองนั้น ได้มีการสร้างพุทธสถานและพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน (หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์) ขึ้นที่ ถ้ำวัดเขาพระทอง (ปัจจุบันนี้คือ วัดเขาพระนิ่ม) ซึ่งหมู่บ้านในพื้นที่บริเวณแถบนี้จะเรียกกันว่า บ้านท่าเขาพระทองหรือบ้านท่าพระทอง และในเวลาต่อมาก็ได้เรียกขานกันสั้นๆว่า บ้านท่าทอง กระทั่งกลายเป็นสถานที่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจึงได้มีการสถาปนาโดยการยกระดับฐานะจากหมู่บ้านท่าทองขึ้นเป็นเมืองท่าทอง
ปากทางขึ้นถ้ำวัดเขาพระนิ่ม
พระนอนและเจดีย์โบราณ ภายในถ้ำวัดเขาพระนิ่ม
พระพุทธรูป ภายในถ้ำวัดเขาพระนิ่ม
สถานที่ตั้งเมืองและที่มาของชื่อเมือง...
เมืองท่าทองและจวนเจ้าเมืองนับตั้งแต่ได้สถาปนาเมืองแล้วนั้นได้เริ่มก่อตั้งในบริเวณเขาพระทองและต่อมาก็ได้มีการย้ายเมืองตามที่ตั้งของจวนของเจ้าเมืองมาตั้งอยู่ที่บริเวณเขาเทวดา (หมู่บ้านบันทายสมอ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกัน) ก่อนที่จะกลับมาตั้งที่บริเวณเขาพระทองอีกครั้ง จากนั้นก็ได้มีการย้ายไปตั้งที่พื้นที่แหลมใหญ่ยาวติดต่อกับทะเลในบริเวณที่เรียกว่า แหลมตำหมอ และภายหลังก็ได้มีการย้ายเมืองกลับไปตั้งที่เขาพระทองอีกครั้งจนกระทั่งในที่สุดก็ได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่ที่ บ้านสะท้อนหรือบ้านท้อน เมื่อประมาณตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๙๒๐ เป็นต้นมา
สรุปก็คือ การย้ายเมืองจะย้ายตามที่ตั้งจวนของเจ้าเมืองในแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนเจ้าเมืองใหม่ ซึ่งจวนเจ้าเมืองก็จะมีศาลากลางไว้ชำระความเมืองต่างๆนั่นเอง ต่อมาในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้มีการกำหนดให้เรียกชื่อเมืองว่า เมืองท่าทอง แต่เพียงชื่อเดียวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..
เขาเทวดา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งคลองท่าทอง
เมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงฯให้แก่พม่าครั้งที่ ๑ นั้น พม่าได้ส่งคนของตนเข้ามาปกครองเมืองท่าทองด้วยแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆก็ตาม ดังที่มีหลักฐานปรากฏไว้คือ...."เสาหงษ์ ที่ วัดเสมา" ซึ่งพม่าได้สร้างขึ้นไว้เพื่อแสดงให้รู้ว่า สถานที่ตรงนี้เป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี ซึ่งเสาหงษ์ที่พม่าได้สร้างไว้แบบนี้จะมีพบกันอยู่อีกหลายที่ในหลายๆเมืองเช่น ที่จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา ฯลฯ จากหลักฐานในส่วนนี้ก็อาจจะบ่งบอกให้สันนิษฐานได้ว่า เมื่อครั้งเริ่มแรกที่เมืองท่าทองตั้งอยู่ที่บ้านสะท้อนนั้นจะมีวัดเสมาเป็นวัดหลวงของเมืองเพียงวัดเดียวที่ได้สร้างไว้ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาในครั้งที่ ๑ ซึ่งข้อมูลหลักฐานที่มีการบันทึกไว้เกี่ยวกับวัดที่ร้างและวัดที่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่นั้นจากข้อมูล "สาส์นสมเด็จ เล่มที่ ๕ หน้า ๓๓๙" ความว่า.....
".....ในครั้งใช้วัดเสมาเป็นวัดถือน้ำ แต่เดี๋ยวนี้ร้างเสียแล้ว..."
(ปัจจุบันนี้วัดเสมาเมืองได้มีการบูรณะขึ้นใหม่แล้ว ตั้งอยูในพื้นที่หมู่ที่ 3 ต.ท่าทอง อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สราษฏร์ธานี) ซึ่งคำว่า "วัดถือน้ำ" นี้ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นวัดหลักหรือวัดหลวงที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาฯของข้าราชการเมืองท่าทองในครั้งโบราณกาลก่อน
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ข้างต้นที่หยิบยกมานี้ก็คงจะเป็นเหตุผลสนับสนุนและเป็นแนวทางให้วิเคราะห์สันนิษฐานได้ว่า แม้ว่าเมืองท่าทองจะย้ายมาตั้งที่บ้านท้อนตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๙๒๐ ในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (สมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือ ขุนหลวงพะงั่ว) จนล่วงเลยมาถึงยุคช่วงที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ ตอนนั้นทางเมืองท่าทองก็น่าจะยังไม่ได้สร้างวัดประสพขึ้นมาเลย ดังหลักฐานเสาหงษ์ของพม่าที่ปรากฏไว้ที่วัดเสมาเมือง(ร้าง)นั้นก็ย่อมเป็นข้อมูลยืนยันได้อย่างดีและเป็นข้อมูลสนับสนุนส่วนหนึ่งที่พอจะให้อนุมานได้ว่า วัดประสพคงอาจจะยังไม่ได้มีการสร้างขึ้นในช่วงก่อนหรือยุคสมัยอยุธยาตอนต้นด้วยเช่นกัน
ภาพป้ายหน้าวัดเสมาเมืองในปัจจุบัน
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ข้างต้นที่หยิบยกมานี้ก็คงจะเป็นเหตุผลสนับสนุนและเป็นแนวทางให้วิเคราะห์สันนิษฐานได้ว่า แม้ว่าเมืองท่าทองจะย้ายมาตั้งที่บ้านท้อนตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๙๒๐ ในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (สมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือ ขุนหลวงพะงั่ว) จนล่วงเลยมาถึงยุคช่วงที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ ตอนนั้นทางเมืองท่าทองก็น่าจะยังไม่ได้สร้างวัดประสพขึ้นมาเลย ดังหลักฐานเสาหงษ์ของพม่าที่ปรากฏไว้ที่วัดเสมาเมือง(ร้าง)นั้นก็ย่อมเป็นข้อมูลยืนยันได้อย่างดีและเป็นข้อมูลสนับสนุนส่วนหนึ่งที่พอจะให้อนุมานได้ว่า วัดประสพคงอาจจะยังไม่ได้มีการสร้างขึ้นในช่วงก่อนหรือยุคสมัยอยุธยาตอนต้นด้วยเช่นกัน
ยุคเมื่อครั้งเสียกรุงศรีฯครั้งที่ ๑...
ช่วงที่กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงฯให้แก่พม่าในครั้งที่ ๑ นั้นเมืองท่าทองแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆแต่พม่าก็ได้ส่งคนของตนเข้ามาปกครองเมืองท่าทองด้วยเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๑๕ ปีโดยประมาณ (ก่อนที่พระนเรศวรจะประกาศอิสระภาพในปี พ.ศ. ๒๑๒๗) จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ช่วงระยะเวลา ๑๕ ปีนี้นั้นอาจจะมีการให้สร้างวัดประสพขึ้นมาในบริเวณบ้านท้อนให้ใกล้กับจวนเมืองท่าทอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปประกอบกิจทางศาสนาเนื่องจากหากจะเดินทางไปที่วัดเสมาเมืองนั้นระยะทางจะค่อนข้างห่างไกลกันประมาณเกือบ 2 กม. แล้วการเดินทางในสมัยก่อนนั้นเส้นทางเดินทางจะใช้ทางน้ำกัน ส่วนเส้นทางบกก็จะทุรกันดารมาก ครั้นหากจะเดินทางไปที่วัดถ้ำเขาพระทอง(วัดเขาพระนิ่ม) ซึ่งเคยเป็นวัดประจำเมืองเมื่อครั้งเมืองท่าทองเริ่มก่อตั้งขึ้นมาแต่แรกนั้นระยะทางก็จะยิ่งห่างไกลออกไปอีกโดยประมาณ 6-7 กม.และก็คงไม่สะดวกในการเดินทางสัญจรด้วยเช่นกัน
ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งที่มีส่วนสนับสนุนการสันนิษฐานข้อนี้คือ ด้านถาวรวัตถุของทางวัดที่ยังหลงเหลือปรากฏอยู่นั้นเช่น ศิลปสกุลช่างของพระพุทธรูปในพระอุโบสถของวัดประสพนั้นจะมีรูปแบบและศิลปะผสมของสกุลช่างพม่ารวมอยู่ด้วยหลายองค์ปรากฏอยู่ ซึ่งทั้งพระประธานและพระพุทธรูปทุกองค์ก็ได้มีการโบกปูนยึดติดกันไว้กับฐานชุกชีแบบพื้นบ้านโบราณมาแต่ดั้งเดิม
พระประธานและพระพุทธรูป ภายในพระอุโบสถวัดประสพ
และยังมีอีกข้อมูลสนับสนุนอีกหลักฐานหนึ่งที่มีการบันทึกไว้ก็น่าสนใจมากในบทความเรื่อง ตำนานเมืองท่าทอง (ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูประจักษ์วรคุณฯ) ที่ท่านพระมหาอุทัย นาคมณี ได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้ในส่วนที่มีการกล่าวไว้ดังนี้ว่า..
"...พอสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้เอกราชได้แล้ว ทรงขับไล่พวกพม่าที่อยู่ในประเทศไทยออกไปจนหมดสิ้น เมืองท่าทองก็ยังคงตั้งอยู่ที่บ้านท้อนและยังเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ตามเดิมสิ่งที่พวกพม่าสร้างขึ้นก็ไม่มีใครทำลายและไม่มีใครซ่อมแซม คงปล่อยให้มันชำรุดทรุดโทรมไปเองตามธรรมชาติ..."
ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าการเข้ามาอยู่ของพม่านั้นมีระยะเวลานานมากจึงได้มีการสร้างสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือวัดวาอารามต่างๆในรูปแบบศิลปของตนผสมผสานอยู่และตามความเชื่อของตนไว้อยู่บ้าง ดังนั้น หากมองจากข้อมูลประวัติศาสตร์และทางด้านถาวรวัตถูของทางวัดดังที่ปรากฏอยู่นี้แล้ว ข้อสันนิษฐานส่วนนี้ย่อมมีมูลเหตุที่สนับสนุนได้อย่างมากหลายๆด้านและความเป็นไปได้สูงยิ่งที่อาจจะมีการสร้างวัดประสพขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้นนี้ก็มีความเป็นไปได้มากอยู่เช่นกัน
ยุคสมัยกรุงศรีอยูธยา ภายหลังได้เอกราชกลับคืนมาจนถึงก่อนเสียกรุงศรีฯครั้งที่ ๒...
ภาคส่วนนี้ผู้เขียนขอหยิบยกมูลเหตุทางด้านระยะเวลากับความสัมพันธ์ของสถานที่ตั้งเมืองเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์หลัก เพราะว่ามีแนวโน้มและน้ำหนักของความเป็นไปได้ที่สูงกว่าประเด็นอื่นๆพอสมควร เนื่องจากที่ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้วนั้นเมืองท่าทองได้ตั้งที่อยู่ที่ บ้านท้อนหรือบ้านสะท้อน ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๙๒๐ - ๒๓๒๘ ซึ่งถือได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายร้อยปี ซึ่งหากจะอิงเป็นยุคสมัยประวัติศาสตร์ราชธานีของชาติไทยแล้วก็พอจะกล่าวได้ว่า เมืองท่าทองได้ตั้งอยู่ที่บ้านท้อนตั้งแต่ช่วงยุคสมัยอยูธยา(สมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1) ถึงยุคสมัยกรุงธนบุรี และจวบจนกระทั่งเข้าสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีได้เป็นเวลา ๓ ปี (ยุดกรุงรัตนโกสินทร์เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นับเนื่องกันเป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควรที่เมืองท่าทองได้ใช้บ้านท้อนเป็นที่ตั้งของเมืองฯ ก่อนที่จะมีการย้ายไปตั้งที่บ้านกะแดะในภายหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๘ จากระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้ข้างต้นนี้ หากกรณีที่ช่วงเสียกรุงฯครั้งที่ ๑ ก่อนหน้านี้ที่พม่าได้ส่งคนของตนเข้ามาปกครองเมืองท่าทองเป็นระยะเวลา ๑๕ ปีนั้นยังไม่ได้มีการสร้างวัดประสพเลย ดังนั้นในยุคช่วงนี้ผู้เขียนจะเริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงประกาศอิสระภาพและไทยได้เอกราชคืนมาจากพม่าในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ จวบจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงฯในครั้งที่ ๒ อีกครั้งในยุคปลายของกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ก็นับระยะเวลารวมช่วงนี้ได้ถึง ๑๘๓ ปี ซึ่งภายในช่วงเวลาเกือบสองร้อยปีนี้สถานที่ตั้งเมืองท่าทองก็ยังคงอยู่ที่บ้านท้อนเสมอมาและในช่วงระยะเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากเช่นกันที่บริเวณพื้นที่ในบริเวณนี้ น่าจะมีการสร้างวัดวาอารามกันขึ้นมากมายหลายพื้นที่ๆมีหมู่บ้านและชุมชน โดยผู้เขียนจะขอหยิบยกข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจจากบทความเรื่อง "ท่าทอง" (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ในส่วนหนึ่งที่ว่า..
"ประมาณ พ.ศ. ๑๙๒๐ - ๒๓๒๘ ตัวเมืองท่าทองได้ย้ายที่ตั้งเมืองใหม่ด้วยสาเหตุดังกล่าว ตั้งแต่บริเวณวัดเขาพระนิ่มไปทางต้นน้ำจนถึงวัดขนุน โดยเฉพาะบริเวณบ้านท้อนและสถานที่ใกล้เคียง ซึ่งเห็นได้จากบริเวณเหล่านี้ มีวัดเก่าวัดร้างอยู่มากดังที่ขุนประกิจกาญจนเขต (ขาบ วิชัยดิษฐ์) ได้กราบทูลต่อสมเด็จกรมพระยานริศฯเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่ปรากฏในสาสน์สมเด็จ ได้ความว่า ที่บ้านท้อนนั้นนับเฉพาะวัดร้างที่ยังสังเกตได้ชัดมีถึง ๑๘ วัด บางวัดสร้างมานานจนมูลดินท่วมสูงถึงพระศอพระประธาน"
พระประธานและพระพุทธรูปของวัดขนุน(วัดร้างเก่าแห่งหนึ่ง)
ซึ่งมีพื้นที่ติดกับวัดประสพ ภายหลังได้มีการผนวกรวมเป็นวัดเดียวกับวัดประสพ
ซึ่งมีพื้นที่ติดกับวัดประสพ ภายหลังได้มีการผนวกรวมเป็นวัดเดียวกับวัดประสพ
จากข้อมูลข้างต้นเป็นกล่าวรวมถึงในบริเวณนี้นับแต่แรกเริ่มมีเมืองท่าทองจนถึงล่วงเข้ายุคกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๓ ปี คือในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ และเป็นปีที่เมืองท่าทองได้ย้ายเมืองไปอยู่ที่บ้านกะแดะในปีนั้น หากตั้งข้อสังเกตุจะเห็นได้ว่า มีวัดร้างที่ยังพอสังเกตุเห็นได้ประมาณ ๑๘ วัดเลยทีเดียวทั้งที่แต่เมื่อครั้งก่อนเสียกรุงศรีฯครั้งแรกนั้นยังไม่มีวัดมากขนาดนี้เลยสำหรับพื้นที่ในแถบนี้
ดังนั้น ในข้อมูลภาคส่วนนี้น่าจะพอสนับสนุนข้อสันนิษฐานได้ดีที่หลังจากไทยได้เอกราชและก่อนเราจะเสียกรุงฯในครั้งที่ ๒ นั้นระยะเวลาที่ยาวนานและบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคงมากในช่วงระยะนี้และบริเวณนี้ย่อมต้องมีการสร้างวัดขึ้นมาหลายวัดแน่และก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่วัดประสพอาจจะมีการสร้างขึ้นมาในช่วงเวลานี้ เพราะจุดศูนย์กลางหลักในบริเวณแถบคลองท่าทองนี้คือเมืองท่าทอง ซึ่งตัวเมืองก็มีสถานที่ตั้งอยู่ที่บ้านท้อนด้วย จากข้อสังเกตุนี้ก็คงทำให้พอมีน้ำหนักในข้อสันนิษฐานที่ว่า วัดประสพน่าจะมีการสร้างขึ้นในช่วงปลายของยุคกรุงศรีอยุธยานี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน
ใบเสมาเก่า ตั้งอยู่เรียงรายรอบพระอุโบสถของวัดประสพ
ยุคสมัยกรุงธนบุรี...
เมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้น เป็นช่วงที่มีระยะเวลาสั้นเพียง ๑๕ ปีและก่อนที่กรุงธนบุรีจะได้เป็นราชธานีนั้นก็เป็นช่วงของการรวบรวมหัวเมืองน้อยใหญ่ พระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงให้พระยาจักรีนำกองทัพลงมาตีเมืองนครศรีธรรมราชด้วย ซึ่งก็ย่อมน่าจะต้องเกี่ยวเนื่องกับเมืองท่าทองด้วยอย่างแน่นอนที่ต้องมีภาระสงครามไปด้วยในฐานะเมืองที่อยู่ในอาณัติและขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช และหลังจากที่กรุงธนบุรีได้มีการสถาปนาเป็นราชธานีแล้ว ประเทศก็อยู่ในช่วงยุคที่มีภาวะสงครามในการขยายอาณาเขตอยู่เกือบตลอดยุคสมัย ดังนั้นโอกาสที่วัดประสพและวัดต่างๆบริเวณนี้จะมาสร้างในช่วงยุคนี้นั้นก็ย่อมมีความเป็นไปได้ที่น้อยมาก ซึ่งหากอิงจากจดหมายเหตุที่ปรากฏในสาสน์สมเด็จ ส่วนที่ว่า
".....ตั้งแต่บริเวณวัดเขาพระนิ่มไปทางต้นน้ำจนถึงวัดขนุน โดยเฉพาะบริเวณบ้านท้อนและสถานที่ใกล้เคียง ซึ่งเห็นได้จากบริเวณเหล่านี้ มีวัดเก่าวัดร้างอยู่มากดังที่ขุนประกิจกาญจนเขต (ขาบ วิชัยดิษฐ์) ได้กราบทูลต่อสมเด็จกรมพระยานริศฯเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่ปรากฏในสาสน์สมเด็จ ได้ความว่า ที่บ้านท้อนนั้นนับเฉพาะวัดร้างที่ยังสังเกตได้ชัดมีถึง ๑๘ วัด บางวัดสร้างมานานจนมูลดินท่วมสูงถึงพระศอพระประธาน"
จากพื้นที่อ้างถึงนั้นคือ ตั้งแต่บริเวณวัดเขาพระนิ่มไปทางต้นน้ำจนถึงวัดขนุนนั้นประกอบไปด้วย ๕ หมู่บ้านคือ หมู่ที่ ๑ ถึง หมู่ที่ ๕ นั้นก็คงย่อมมีโอกาสเป็นไปได้มากที่วัดเหล่านี้จะมีสร้างมาก่อนยุคนี้ เนื่องจากยุคนี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงภาวะสงครามและมีการรวบรวมและขยายอาณาเขต.. เพราะในช่วงต้นรัชกาลก็มีสภาพบ้านเมืองที่ยังเสียหายจากสงครามอย่างหนักและเกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยด้วย ดังนั้น ประเทศก็ยังไม่มีปึกแผ่นที่มั่นคง ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งยุคนี้ก็มีช่วงเวลาสั้นอีกด้วย หากจะมีการสร้างวัดในช่วงนี้บ้างก็คงมีไม่มากนักหรือแทบไม่มีเลยก็ได้
เข้าสู่...ยุคกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อย่างเข้าปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ราขธานีก็ได้ย้ายสู่ยุคราชวงศ์จักรีของกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่ได้มีการสถาปนาราชธานีใหม่แล้ว ๓ ปีก็ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างไทยกับพม่าอีกครั้งคือ สงครามเก้าทัพ และในการสงครามครั้งนี้พม่าได้เดินทางยกทัพผ่านเข้ามาตีเมืองท่าทองด้วยเช่นกัน อันเป็นเหตุให้พื้นที่ในบริเวณเมืองท่าทองได้มีผู้คนทั้งไทย-พม่า บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพม่ายังได้มีการเผาบ้านเรือนและปล้นเอาทรัพย์สินชาวบ้านไปเป็นเสบียงและทิ้งความเสียหายไว้มากมาย จนสภาพบ้านเมืองหลังจากนั้นเสมือนบ้านเมืองร้างไร้ผู้คนอาศัย แม้กระทั่งแม่น้ำลำคลองท่าทองก็มีซากศพเน่าลอยน้ำดาษดื่นไปทั่วบริเวณ ซึ่งทางเมืองได้เล็งเห็นว่าหากยังตั้งเมืองอยู่ที่นี้ต่อไปอาจจะก่อให้เกิดโรคระบาดแก่ผู้คนทั้งหลายได้จึงได้มีการย้ายเมืองท่าทองไปตั้งแถวคลองกระแดะนับแต่นั้น เมื่อหลังจากสงครามสงบแล้วในส่วนของชาวบ้านท้อนที่ไม่ได้คิดย้ายบ้านเรือนไปด้วยต่างก็ได้มีการกลับมาบูรณะฟื้นฟูพื้นที่บริเวณนี้ใหม่เพื่อให้สามารถอยู่อาศัยทำมาหากินกันได้อีก โดยที่มีฝ่ายบ้านเมืองเป็นผู้อุปการะราษฎรและได้มีพระภิกษุร่วมมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการชักนำผู้คนสู่การฟื้นฟูบ้านเรือนครั้งนั้น ต่างช่วยกันเก็บรวบรวมศพคนไทยและพม่าที่ล้มตายเกลื่อนกราดนั้นมากองรวมไว้ที่เดียวกันซึ่งสถานที่แห่งนั้นก็มีการสันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นพื้นที่วัดประสพในปัจจุบันนี้ ก่อนที่จะได้นำไปเผาร่วมกันพร้อมทำบุญหมู่บ้านครั้งใหญ่แล้วจึงได้บูรณะวัดและบ้านเรือนให้กลับมาอยู่อาศัยได้ดังเดิมในท้ายที่สุด
ดังนั้น จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนี้นั้นเห็นได้ว่า หลังจากที่มีการเปลี่ยนราชธานีสู่ยุคใหม่แล้วมีระยะเวลาเพียงแค่ ๓ ปี ซึ่งความเป็นเสถียรภาพของบ้านเมืองก็ยังมีไม่มากที่ในพื้นที่บริเวณแถบนี้จะมีโอกาสได้สร้างวัดขึ้นในช่วงนี้และแทบจะไม่มีหลักฐานใดสนับสนุนเลย ส่วนหลักฐานด้านถาวรวัตถุก็ไม่เอื้อสนับสนุนอีกทั้งประกอบกับสงครามครั้งหลังนี้พม่าได้เข้ามาโจมตีเมืองท่าทองเพราะเป็นเมืองเล็กที่เป็นเพียงเส้นทางผ่านก่อนที่จะปล้นเสบียงและเผาวัด-บ้านเรือนเสียหาย ซึ่งจากหลักฐานในจดหมายเหตุฯที่ได้ยกมาอ้างอิงไว้ข้างต้นนี้ช่วยให้สันนิษฐานได้ว่าวัดที่ได้ร้างไปนั้นย่อมได้มีการสร้างไว้อยู่ก่อนปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เป็นที่แน่ชัดและอีกส่วนหนึ่งที่ได้มีการอ้างถึงว่า มีการนำซากศพไปกองรวมกันไว้ในพื้นที่เดียวกันนั้นก็พอบ่งชี้ให้วิเคราะห์ได้ว่า สถานที่นี้คงต้องเป็นเนื้อที่ราบโล่งกว้างหรืออาจเป็นวัดร้างที่เหมาะจะเก็บศพรวมกันไว้เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการทำการฌาปนกิจเผาศพรวมกันในภายหลัง ซึ่งในวัดร้างที่มีการกล่าวถึงนี้นั้นรวมถึงวัดประสพอยู่ด้วย อันเนื่องจากเป็นวัดที่มีการสร้างมาอยู่ก่อนยุคกรุงรัตนโกสินทร์แล้วนั่นเอง
❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈
✺ วัดประสพ ✺
จากบทสรุปของแหล่งข้อมูลหลายภาคส่วนข้างต้นที่ยกมาอ้างอิงนี้ทำให้มีน้ำหนักสนับสนุนจากหลักฐานต่างๆที่ว่า วัดประสพนี้น่าจะสร้างมาตั้งแต่ยุคหลังจากช่วงที่ไทยเสียกรุงฯครั้งที่ ๑ แล้วหรืออาจจะเป็นยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงกว่ายุคอื่นๆมากซึ่งจากเอกสารและข้อมูลอ้างอิงประกอบต่างๆที่มีการบันทึกไว้นั้นก็พอประมวลได้ว่า เมืองท่าทองนั้นตั้งอยู่ที่บ้านสะท้อนมีระยะเวลาค่อนข้างยาวนานมากและวัดประสพก็ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกันนี้อีกด้วยทั้งทางด้านถาวรวัตถุอย่างเช่น พระพุทธรูปศิลาทรายและพระพุทธศิลายวงภายในพระอุโบสถที่ได้โบกปูนไว้กับฐานชุกชีมาแต่เดิมก็เป็นอีกหลักฐานที่บ่งชี้บอกให้ทราบถึงยุคสมัยของวัดได้อย่างชัดเจนอีกหลักฐานหนึ่ง
ดังนั้น วัดประสพจึงเป็นวัดเก่าที่ได้ก่อตั้งอยู่คู่บ้านคู่เมืองท่าทอง(เก่า) มาอย่างยาวนาน ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นวัดร้างจากเภทภัยของสงครามในอดีต จวบจนกระทั่งบ้านเมืองร่มเย็นเป็นปึกแผ่นแล้วจึงได้มีการบูรณะและก่อตั้งวัดขึ้นมาใหม่ในช่วงสมัยยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นอีกครั้ง
สถานที่ตั้งของวัดประสพ อยู่ที่บ้านสะท้อน หมู่ที่ ๔ ตำบลท่าทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ทำเลโดยรอบของวัดตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนและอยู่ใกล้กับโรงเรียนวัดประสพโดยมีถนนสายในหมู่บ้านตัดผ่านระหว่างกัน ส่วนด้านหน้าของวัดจะมีถนนสายหลักของหมู่บ้านและด้านหลังวัดก็มีบ้านเรือนของชาวบ้านตั้งอยู่ติดกันกับวัดฯถัดไปจากบ้านเรือนชาวบ้านก็จะมีถนนทางหลวงจังหวัด หมายเลข ๔๑๗๗ เป็นถนนทางหลวงเส้นทางหลักที่ใช้ในการเดินทางสัญจรทั่วไป
%20%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%20%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9E.jpg)
โบราณสถานของทางวัดคือ พระอุโบสถนั้นเดิมทีในสมัยเก่าก่อนได้มีการก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลังแบบโบราณโดยที่ด้านข้างจะเปิดโล่งไว้โดยรอบไม่มีฝาผนังปิดกั้น ซึ่งกาลต่อมาจึงได้มีการก่ออิฐถือปูนกั้นฝาผนังโบสถ์ขึ้นมาในภายหลัง ส่วนทางด้านถาวรวัตถุของทางวัดซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของทางวัดนั้นภายในพระอุโบสถจะมีพระพุทธรูปศิลาทรายปิดทองเป็นศิลปะงานช่างพื้นเมืองพุทธศิลปสมัยอยุธยาอยู่หลายองค์ พร้อมกับพระพุทธรูปศิลายวง ๔ องค์ซึ่งตามประวัติเล่าสืบกันมาว่าได้มีการนำมาจากพม่าแต่ไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนนักว่าได้มีการนำมาไว้ตั้งแต่เมื่อปีใด
พระประธานและพระพุทธรูป ภายในพระอุโบสถวัดประสพ
ส่วนที่มาของชื่อวัดภายหลังจากที่ได้มีการบูรณะตั้งวัดขึ้นใหม่แล้วนั้นก็คงมาจากบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและข้อสันนิษฐานที่เล่าสืบต่อกันมาว่าชื่อ "วัดประสพ" นี้เปรียบได้กับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้เมื่อครั้งเกิดสงคราม ๙ ทัพ นั่นคือ ประสพพบเหตุเภทภัยฯ จึงได้ยกตั้งขึ้นเป็นชื่อของวัดด้วยมูลเหตุประการดังกล่าวนี้
รูปเหมือน หลวงพ่อขาว นีลวณฺโณ
กระทั่งมาถึงยุคของ พระครูประจักษ์วรคุณ (หลวงพ่อขาว นีลวณฺโณ) ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๓ ของวัดประสพและในยุคของท่านนี้ได้ทำให้วัดประสพเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรืองที่สุดอีกครั้งในถิ่นแถบนี้ ช่วงขณะที่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่นับรวมระยะเวลา ๔๑ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จวบจนวาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน.

หากบทความประวัติของวัดประสพนี้มีข้อผิดพลาดในส่วนใดแล้ว ผู้เขียนพร้อมน้อมรับฟังทุกความเห็นท้วงติงหรือคำแนะนำ โดยท่านสามารถแจ้งเข้ามาได้ตามอัธยาศัยและก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเช่นกันครับ
* ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูประจักษ์วรคุณ (หลวงพ่อขาว นีลวณฺโณ) ฯ และ ท่าทอง (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
* ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบฯ : ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม(วธ.) และ เพจวัดประสพ และ บล็อกเมืองท่าทอง และ ภาพแผนที่จาก GOOGLE
(หากมีภาพใดที่ผู้เขียนนำมาใช้ประกอบโดยไม่ได้อ้างถึงแหล่งที่มาอันอาจเนื่องจากเป็นสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลฯ หากทางเจ้าของภาพมีความประสงค์ให้ระบุชื่อที่มาได้ก็สามารถแจ้งความจำนงค์เข้ามาเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามความประสงค์ของท่านได้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น